‘ข้าพเจ้าคือลูกวัวตัวหนึ่ง’
หลังจากที่ผมเรียนจบมหาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ผมตัดสินใจ สมัครงานเป็นพนักงานตอนกลางคืนในโรงแรมแห่งหนึ่งเพราะ คิดว่าจะได้ไม่ต้องวุ่นวายกับผู้คนมากนัก แต่ผมคิดผิดเพราะ ในเมืองเท่ากับผู้คน ถ้าผมไม่ออกจากเมืองผมก็จะไม่มีวัน ออกจากผู้คน พ่อแม่ผมมีอาชีพค้าขายเป็นพื้นเพ ไม่มีเพื่อน ของครอบครัวผมเป็นเกษตรกร เว้นแต่แม่ผมจะเป็นลูกค้า เกษตรกรที่ตลาด ผมจึงรู้จักชาวนาในหน้าหนังสือตอนเรียน ประถม เกษตรกรที่ผมรู้จักจึงเป็นหน้าจอโทรทัศน์หรือภาพที่ ผมมองจากช่องกระจกเวลารถยนต์ขับผ่านย่านชาวบ้านท้องถิ่นห ลังจากที่เข้าสู่ปลายเดือนวันสงกรานต์ ผมตัดสินใจลาออก เพราะไม่มีวันหยุดวันลาเหมือนที่เพื่อนผมหยุดแล้วออกไป สังสรรค์กัน ความจริงผมไม่ใช่คนที่ชอบสังสรรค์แค่อยากให้มี วันหยุดวันลาตรงกับเพื่อนบ้าง
หลังจากที่ผมลาออกไม่นานนัก ก็เล่นโทรศัพท์มือถือเปิดเข้าไป พบกับ เพจคนกล้าคืนถิ่น ช่วงที่กำลังมีป้ายประกาศเชิญชวน ให้คนที่ไม่มีพื้นที่สนใจทำเกษตรอยากเรียนรู้ในแปลงของคนที่ ต้องการคนมาช่วยงาน “เฮ้ย รู้ได้ไงเนี่ย เหมือนที่ใจเราคิดพอดีเลย เหมือน เค้ารู้ว่าผมคิดอะไรอ่ะ” นี่ต้องเป็นสารจากสวรรค์ แน่ๆ ผมคิดอย่างนี้"
ผมไม่รอช้ารีบกรอกใบสมัครแล้วส่งไปในเพจทันที หลังจากนั้นไม่นานมีสายโทรศัพท์เข้ามา เป็นเบอร์ ของคุณพิทักษ์ผมจำนามสกุลไม่ได้เพราะยาวเกิน ไป เค้าเชิญชวนผมด้วยความสุภาพชนให้ไปอบรม คนกล้าคืนถิ่น รุ่นที่ห้า ณ สวนเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราชหรือที่รู้จักกันสั้นๆ ว่า บ้านป้าโรส ผมจึงเป็น โก้คนกล้าคืนถิ่น รุ่น 5/1 แถ่น แทน แท้นนนนน~~~”
ช่วงที่ผมเข้าอบรม สารภาพตามตรงว่าสิ่งที่ผมจำได้ชัดเจนจาก การอบรมคือ ภาพพ่อบ้านแคลน่าใช้นิ้วกดจมูกอีกข้างนึงเพื่อให้ เราหายใจให้สะดวก มันเป็นโยคะแบบหนึ่งที่ใช้ได้ผลจริงๆ ครับ
มีกระบวนการรับฟังที่ผมพยายามนำมาใช้ การไม่ตัดสินว่า กระทำของคนๆ นั้นถูกหรือผิดหรือที่คนชอบพูดว่าไม่มีถูกไม่มีผิด ในสิ่งที่ทำ บอกตามตรงเป็นคำที่ผมไม่ชอบฟัง แล้วคนใกล้ตัว ผมมักจะพูดคำนี้กับผม เจ้าของฟาร์มวัวที่ผมไปขออาศัยอยู่ด้วย เป็นเวลา 1 ปีนี่แหละครับ ผมพยายามไม่ตัดสินสิ่งเขากระทำ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด แบบแรกจะตัดสินแต่จะไม่ตัดสิน ว่าถูกหรือผิด แต่แบบของผมคือการไม่ตัดสินในสิ่งที่เขาทำ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็แล้วแต่
“แต่ผมเหมือนลูกวัวตัวหนึ่งที่ต่อให้ล้อมรั้วไว้ไม่ให้ ออกนอกคอก ลูกวัวก็จะหนีลอดออกมาจากคอก ได้เสมอ ใช่แล้วครับ คำพูดของผมนี่เองที่ไปตัดสิน การกระทำของเจ้าของฟาร์ม ทั้งที่ผมไม่ควรพูด แต่ผมก็ปล่อยให้มันหลุดรอดออกไปได้”
เรื่องมีอยู่ว่า คืนหนึ่งที่ปกติเราจะมาพูดคุยกัน เขาเล่าให้ฟังว่า เขาทำสิ่งที่ผิดพลาดซึ่งเกิดจากปัจจัยภายนอกที่เขาควบคุมไม่ได้ ซึ่งนี่เป็นเหตุการณ์ครั้งที่ 2 ผมตอบเขาไปว่า “ถ้าเป็นผม ผมจะ ไม่ทำแล้ว” ซึ่งหลังจากที่ผมพูดจนถึงตอนนี้ผมก็ยังเก็บมาคิดว่า ผมนั้นไม่ควรพูดคำแบบนั้นออกไปเลย เพราะความหมายที่เรา จะสื่อไปอาจทำให้เค้าตีความไปอีกแบบหนึ่ง
“เหตุการณ์นั้นมันทำให้ตอนนี้ผมอยู่ในจุดที่ต้องการ ให้ทุกข์เบาบางลง ผมคิดว่า เขาไม่โกรธผมและไม่เคย เก็บไปคิดมากเท่าผมเพราะขณะที่ผมกำลังไปอาบน้ำ เค้าตะโกนถามผมว่า”
“โก้ วันนี้กินข้าวกับอะไร” ผมตอบไปว่า “อาบน้ำอยู่” ก็เลยรู้สึกว่าเขายังคุยกับผม เหมือนเดิม และผมคงคิดมากไปเอง
โก้ คนกล้ารุ่น 5/1 อบรมสวนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 (บ้านป้าโรส)”
บทความจาก: เรื่องราวที่ดีจากคนกล้าคืนถิ่น…ถึงคนรุ่นใหม่ หนังสือบทเรียนพื้นที่ต้นแบบ การพัฒนาธุรกิจเกษตรของเกษตรกรรุ่นใหม่